ในชีวิตของเรา เราเคยรู้สึกว่าอยากที่จะทำอะไรเป็นหรือทำให้ได้ดีอย่างคนอื่นหรือเปล่า แล้วเคยบ้างไหมที่ลองทำดูแล้วอาจล้มเหลว ไม่สำเร็จแล้วเลิกที่จะทำไปหรือประสบความสำเร็จตามที่หวังก็จริง แต่ต้องใช้เวลานานกว่าจะทำได้ เพราะฉะนั้นเราควรทำอย่างไรดี ที่จะสามารถทำได้ดีหรือเก่งอย่างคนอื่นโดยที่ใช้เวลาน้อย และมีความผิดพลาดที่น้อยที่สุด ลองอ่านนิทานเรื่องนี้ก่อนเพื่อจะได้เห็นภาพกันง่ายขึ้น นิทานเรื่องนี้ชื่อว่า "เด็กหนุ่มกับสองเฒ่า" เด็กหนุ่มคนหนึ่งมีนิสัยรั้นชอบอวดเก่งเห็นใครทำอะไรเขาก็ทำตามได้ และคิดว่าตนเองทำได้ดีกว่าผู้อื่นเสมอ วันหนึ่งเด็กหนุ่มเดินเล่นอยู่ริมแม่น้ำ พลันสายตาเหลือบเห็นผู้เฒ่าสองท่านกำลังนั่งตกปลา แต่ละท่านเต็มไปด้วยมาดเคร่งขรึม แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้ชำนาญการตกปลาเป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่ผู้เฒ่ากระตุกคันเบ็ดก็ได้ปลาทุกครั้ง ทันใดนั้นผู้เฒ่าท่านหนึ่งลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว พริบตานั้นเองผู้เฒ่าท่านนี้ก็กระโดดไปบนผิวน้ำทีละก้าวๆๆๆ จนไปถึงฝั่งตรงข้าม เพื่อหยิบเหยื่อปลา แล้วก็กระโดดทีละก้าวกลับมาที่เดิม และในเวลาต่อมาไม่นานนัก ท่านผู้เฒ่าท่านที่สอง ได้ลุกขึ้นพร้อมกระโดดทีละก้าวๆๆๆ ข้ามไปฝั่งตรงกันข้ามของแม่น้ำเหมือนผู้เฒ่าคนแรก นำปลาที่เพิ่งตกได้ใส่ข้อง แล้วก็กระโดดกลับมานั่งที่เดิม เด็กหนุ่มถึงกับตะลึง ไม่คาดฝันว่าผู้เฒ่าทั้งสอง สามารถเดินบนผิวน้ำได้เหมือนมีวิชาตัวเบา เด็กหนุ่มเห็นดังนั้นด้วยความอวดเก่งไม่คิดหน้าคิดหลัง จึงลองกระโดดเหมือนผู้เฒ่าบ้าง แต่เขากลับจมดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำทันที สองผู้เฒ่าได้ช่วยเหลือเด็กหนุ่มจนขึ้นฝั่งได้แล้ว ท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่งมองเด็กหนุ่มด้วยความสมเพช แล้วจึงพูดว่า "เจ้าเด็กโง่..พวกเรานั่งตกปลาที่นี่มานานนับสิบปีแล้ว เรารู้ดีว่า
ที่แม่น้ำนี้ตรงไหนมีตอไม้ให้เราเหยียบได้บ้าง เราก็เลยกระโดดข้ามไปได้เหมือนมีวิชาตัวเบาสามารถเหยียบบนผิวน้ำได้ เจ้าเด็กโง่....
เจ้ายังไม่รู้อะไร เจ้าจะทำตามได้อย่างไร เจ้าเด็กโง่" ก่อนเด็กหนุ่มจะได้รู้เคล็ดลับของผู้เฒ่า เล่นเอาเขาเกือบจมน้ำตาย นิทานเรื่องนี้
สอนให้เรารู้ว่า การที่จะทำอะไรให้ประสบผลสำเร็จ เราต้องศึกษาให้ถ่องแท้ว่าผู้ที่เขาประสบความสำเร็จเขามีเคล็ดลับอะไร มีประสบการณ์มาอย่างไร อย่าตัดสินว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันง่ายเหมือนอย่างที่เราเห็น เพราะมันสามารถทำให้เราจมน้ำตายได้ นิทานเรื่องนี้เราสามารถใช้เครื่องมือในการบริหารอย่างหนึ่งมาช่วยได้ ซึ่งจะทำให้เด็กหนุ่มสามารถเดินบนน้ำได้อย่าง 2 ผู้เฒ่า โดยที่ไม่ต้องใช้เวลานานนับสิบ ๆ ปีดังเช่น 2 ผู้เฒ่าและมีโอกาสตกน้ำได้น้อยที่สุด นั่นคือ "Benchmarking" เป็นกระบวนการแลกเปลี่ยนความรู้
ประสบการณ์และวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ จากองค์กรอื่น ภายใต้กฏกติกาสากลโดยมีแนวคิดที่ว่า องค์กรไม่ได้เก่งทุกเรื่อง ยังมีองค์กรที่เก่งกว่าในบางเรื่อง การศึกษาจากประสบการณ์ตรงขององค์กรอื่นแล้วนำมาประยุกต์ให้เหมาะสม จะช่วยประหยัดเวลาและลดการลองผิดลองถูก ทำให้ "Benchmarking" เป็นเส้นทางลัดสู่ความเป็นเลิศอย่างก้าวกระโดด โดยผลที่ได้รับจากการทำ "Benchmarking"คือทำให้เรารู้ว่าใครเป็นผู้ปฏิบัติได้ดีที่สุดและมีวิธีปฏิบัติอย่างไร
(ขอขอบคุณบทความจาก "maymi Aug 25 2007")
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น